เมื่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนคลี่คลายลงในเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นเอเชียได้ดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมากในเดือนดังกล่าว
จากข้อมูลของ LSEG พบว่า นักลงทุนต่างชาติรวมกันซื้อหุ้นในเอเชียมูลค่าประมาณ 10,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2024
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นในอินเดีย เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไต้หวันของจีน ต่างก็มีเงินทุนไหลเข้า ซึ่งในจำนวนนี้ ตลาดหุ้นของไต้หวันของจีน มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าถึง 7,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นสถิติการซื้อสุทธิรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ส่วนอินเดียมีเงินทุนไหลเข้า 2,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2024
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสุทธิด้วยเช่นกัน คือ 885 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 338 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยประสบกับการขายสุทธิ 491 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
มุมมองที่เป็นบวก
โกลด์แมน แซคส์ บริษัทยักษ์ใหญ่จากวอลล์สตรีทระบุว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของกำไรสำหรับดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) เป็น 9% สำหรับทั้งปี 2025 และ 2026 โดยอ้างถึงการเติบโตของเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่งขึ้นในจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเติบโตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ในทางกลับกัน ความลังเลของนักลงทุนทั่วโลกต่อสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดเอเชียปรับตัวขึ้นเช่นกัน เนื่องจากปัญหาหนี้สินที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนหลายรายหันไปหาที่หลบภัยที่ปลอดภัยกว่าในยุโรป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า อิตาลี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรก็กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านหนี้สินเช่นกัน ทำให้ตลาดเอเชียดูน่าสนใจมากขึ้น
สิ่งนี้ยังหมายความว่า ประเทศในเอเชียมีพื้นที่ทางนโยบายที่มากขึ้นในการดำเนินมาตรการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการบริโภคและตลาดการเงิน นอกจากนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ในเอเชียก็ยังเป็นทางเลือกในการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการการเติบโตสูง
มูลค่าที่ต่ำก็เป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญเช่นกัน ณ วันที่ 23 พฤษภาคม อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) 12 เดือนข้างหน้าของดัชนี STOXX50 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นหลักของยุโรป อยู่ที่ 15.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าดัชนี S&P 500 อย่างมากที่ 21.0 เท่า อัตราส่วน P/E ของดัชนี MSCI เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นเกิดใหม่หลักของเอเชีย ยังต่ำกว่านั้นอีก คือเพียง 13.4 เท่า
อย่างไรก็ตาม Invesco เตือนว่าในครึ่งหลังของปี 2568 ตลาดในเอเชียจะยังคงได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจมีน้ำหนักมากกว่าผลกระทบเชิงบวกจากปัจจัยขับเคลื่อนภายในประเทศในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม อีกปัจจัยเชิงบวกคือการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของดอลลาร์สหรัฐ การแข็งค่าของสกุลเงินในเอเชียจะดึงดูดการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ



