เมื่อวันศุกร์ (16 พฤษภาคม) ตามเวลาท้องถิ่น บริษัทมูดี้ส์ หนึ่งในสามหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินระดับโลก ประกาศบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตนว่า ได้ตัดสินใจลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของสหรัฐฯ จากระดับ Aaa เป็นระดับ Aa1 เนื่องจากอัตราส่วนหนี้และดอกเบี้ยที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น

มูดี้ส์ระบุว่า ระดับการเติบโตของอัตราส่วนหนี้และดอกเบี้ยที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องจ่ายนั้นสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินใกล้เคียงกันอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ข่าวประชาสัมพันธ์ระบุว่า "แม้ว่าเราจะยอมรับว่าสหรัฐฯ มีจุดแข็งที่สำคัญในด้านเศรษฐกิจและการเงิน แต่จุดแข็งเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการเสื่อมถอยของตัวชี้วัดด้านการคลังได้อย่างเต็มที่"
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขาดดุลการคลังประจำปีของสหรัฐฯ ได้เข้าใกล้ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 6% ของ GDP ในสภาวะที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัวเนื่องจากสงครามภาษีศุลกากรระดับโลกที่กำลังดำเนินอยู่ การชะลอตัวของการเติบโตของสหรัฐฯ อาจผลักดันให้ขาดดุลของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นมากขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายของรัฐบาลมักจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว
อัตราดอกเบี้ยที่สูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังเพิ่มต้นทุนการบริการหนี้ของรัฐบาลอย่างมาก ตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กู้ยืมเกินขีดจำกัด ทำให้ระดับหนี้โดยรวมเกินขนาดของเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านี้ นายเบนท์เซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ก็ยอมรับต่อรัฐสภาว่า "สหรัฐฯ กำลังอยู่บนเส้นทางที่ไม่ยั่งยืน และตัวเลขหนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงจริงๆ" นายเบนท์เซนระบุว่า วิกฤตนี้จะนำไปสู่ "การหายไปอย่างสิ้นเชิงของเครดิตและการชะงักงันของเศรษฐกิจอย่างกะทันหัน" โดยเน้นย้ำว่าเขาจะ "ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น"
ในขณะเดียวกัน ห้องปฏิบัติการงบประมาณของมหาวิทยาลัยเยล คาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายภาษีใหม่ที่พรรครีพับลิกันร่างขึ้น จะเพิ่มหนี้สินของรัฐบาลขึ้น 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษหน้า หากข้อกำหนดชั่วคราวทั้งหมดในร่างกฎหมายที่กำหนดไว้ในตอนแรกว่าจะค่อยๆ ยกเลิกไปนั้น ถูกขยายเวลาไปจนถึงปี 2035 อาจทำให้หนี้สินของรัฐบาลสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ห้องปฏิบัติการงบประมาณของมหาวิทยาลัยเยลระบุว่า หากข้อกำหนดเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็นแบบถาวร อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ของสหรัฐฯ จะถึง 200% ภายในปี 2055

ควรสังเกตว่า มูดี้ส์ เป็นหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินรายใหญ่รายสุดท้ายจากสามราย ที่ถอดอันดับ AAA ของสหรัฐฯ ออกStandard & Poor's ได้ลดอันดับเครดิตระยะยาวของสหรัฐฯ จาก "AAA" เป็น "AA+" ไปแล้วในปี 2554 ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ในเวลานั้น
ในทางกลับกัน Fitch Ratings ได้ลดอันดับเครดิต AAA ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม 2566 โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะ "การเจรจาเพิ่มวงเงินหนี้ที่ติดขัดอยู่บ่อยครั้งในรัฐสภา" Fitch ได้คาดการณ์ไว้ในเวลานั้นว่า สถานการณ์ทางการคลังของสหรัฐฯ จะทรุดโทรมลง โดยหนี้สินของรัฐบาลกลางจะยังคงสูงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง



