จากรายงานของสื่อที่อ้างอิงแหล่งข่าว บริษัท นิปปอนสตีล วางแผนที่จะลงทุนในบริษัท ยูเอสสตีล รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงเงิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการสร้างโรงงานผลิตเหล็กแห่งใหม่ โดยมีเงื่อนไขว่า ทางการของประธานาธิบดีทรัมป์จะอนุมัติการเข้าซื้อกิจการบริษัทอเมริกันที่มีชื่อเสียงแห่งนี้
ในเดือนธันวาคม 2566 บริษัท นิปปอนสตีล ประกาศเข้าซื้อกิจการบริษัท ยูเอสสตีล ในวงเงิน 1.49 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ได้รับการคัดค้านอย่างหนักตั้งแต่มีการประกาศ ทั้งอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานาธิบดีทรัมป์ ปัจจุบัน ต่างก็คัดค้านการทำธุรกรรมนี้
แม้ว่าบริษัท นิปปอนสตีล จะพยายามอย่างหลากหลายเพื่อช่วยชีวิตข้อตกลงนี้ แต่ในที่สุด ไบเดน ก็ได้ใช้สิทธิวีโต้อย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีนี้ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ หลังจากนั้น บริษัท ยูเอสสตีล และบริษัท นิปปอนสตีล ก็ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลในสหรัฐฯ
มีรายงานว่า บริษัท นิปปอนสตีล วางแผนที่จะลงทุน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงสร้างพื้นฐานของบริษัท ยูเอสสตีล ภายในปี 2571 ซึ่งรวมถึงเงินลงทุนในโครงการใหม่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเติมอีก 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ข้อตกลงการลงทุนเบื้องต้นของบริษัท นิปปอนสตีล มีเพียง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และการเพิ่มขึ้นอย่างมากของข้อตกลงการลงทุนนี้ สามารถมองได้ว่าเป็นหนึ่งในความพยายามสุดท้ายของบริษัท เพื่อให้ได้รับการอนุมัติในการทำข้อตกลงนี้
ข้อตกลงนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบด้านความมั่นคงแห่งชาติรอบใหม่ โดยมีกำหนดเส้นตายในวันที่ 21 พฤษภาคม (วันพุธนี้ ตามเวลาท้องถิ่น) ในระหว่างการตรวจสอบครั้งก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคมปีนี้ ไบเดน ได้ใช้สิทธิวีโต้ข้อตกลงนี้ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ หากข้อตกลงนี้ยังคงค้างอยู่หลังจากการตรวจสอบครั้งนี้ ทรัมป์ จะมีเวลา 15 วันในการตัดสินใจ แม้ว่าตารางเวลานี้อาจจะถูกขยายเวลาออกไปก็ตาม
ยังคงไม่ชัดเจนว่า การลงทุนเพิ่มเติมจำนวนมากเหล่านี้จะเพียงพอที่จะโน้มน้าวใจทรัมป์หรือไม่ หากการเข้าซื้อกิจการล้มเหลว บริษัท นิปปอนสตีล จะต้องเผชิญกับ "ค่าธรรมเนียมการเลิกรา" สูงถึง 565 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความทุ่มเทของบริษัท นิปปอนสตีล ในการเข้าซื้อกิจการบริษัท ยูเอสสตีล เกิดจากการเดิมพันว่า พระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อ (IRA) จะส่งเสริมการฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐฯ หากการเข้าซื้อกิจการประสบความสำเร็จ บริษัท นิปปอนสตีล คาดว่าจะกลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
ด้วยการเข้ามารับตำแหน่งของรัฐบาลชุดใหม่ บริษัท นิปปอนสตีล ได้รับแรงผลักดันใหม่ในการทำข้อตกลงนี้ให้สำเร็จ เนื่องจากทรัมป์ ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรที่สูงถึง 25% สำหรับเหล็กจากต่างประเทศ



